ชวนกันมาเที่ยวอุทยานแห่งชาติดอยอินทนนท์

          เชื่อว่าทุกคนคงรู้จักดอยอินทนนท์เป็นเป็นอย่างดีเพราะที่นี่เป็นสถานที่ที่มีชื่อเสียงแห่งหนึ่งในจังหวัดเชียงใหม่   หลายคนเคยเดินทางไปเที่ยวที่จังหวัดเชียงใหม่กันมาแล้วแต่อาจจะมีบางคนที่อาจจะยังไม่เคยไปท่องเที่ยวที่ดอยอินทนนท์กันเลยนั่นก็เพราะว่าการท่องเที่ยวที่ดอยอินทนนท์นั้นอาจจะต้องใช้ระยะเวลานานในการท่องเที่ยวดอยอินทนนท์นั้นเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่มีพื้นที่ขนาดใหญ่มาก

ซึ่งเรารู้กันดีอยู่ว่าดอยอินทนนท์นั้นต้องขึ้นไปบนภูเขาสูงและปัจจุบันนี้อินทนนท์ก็ได้ถูกประกาศเป็นอุทยานแห่งชาติไปเรียบร้อยแล้วดังนั้นการที่เราจะเดินทางไปเที่ยวที่ดอยอินทนนท์นั้นอาจจะต้องมีการเตรียมตัวเนื่องจากว่าระยะทางในการขับรถไปนั้นจะค่อนข้างเปลี่ยวและไกลรวมถึงยังต้องขับรถขึ้นเนินเขาซึ่งหากคนไม่ชำนาญทางก็อาจจะได้รับอันตรายจากการเดินทางในครั้งนี้ได้

แต่เชื่อเถอะว่าถ้าหากใครก็ตามที่ได้เดินทางมาเที่ยวที่ดอยอินทนนท์แล้วจะรู้สึกว่าไม่เสียเที่ยวจริงๆไม่ได้เดินทางมาที่นี่ถึงแม้การเดินทางจะค่อนข้างลำบากเกี่ยวกับเรื่องของถนนหนทางแต่ตลอดสองข้างทางที่เราได้มีการขับรถเพื่อไปให้ถึงจุดสูงสุดของดอยอินทนนท์นั้นคุ้มค่าจริงๆเพราะสองข้างทางนั้นจะร่มรื่นเต็มไปด้วยต้นไม้นานาชนิดและเมื่อไปถึงที่ดอยอินทนนท์นั้น

ก็ยังมีสถานที่ให้เราได้พักผ่อนหย่อนใจรวมถึงมีสถานที่ที่ทางเจ้าหน้าที่ที่ดูแลดอยอินทนนท์นั้นได้เตรียมเอาไว้ให้เป็นสถานที่เอาไว้ให้นักท่องเที่ยวสำหรับพักผ่อนอีกด้วยและเมื่อไปถึงดอยอินทนนท์นั้นนอกจากการที่เราจะได้ถ่ายรูปกับดอกไม้สวยๆที่เป็นดอกไม้เมืองหนาวแล้วเรายังสามารถไปเที่ยวน้ำตกซึ่งมีหลากหลายน้ำตกมากที่อยู่ในดอยอินทนนท์และที่สำคัญ

หากเราสามารถเดินเข้าป่าไปถึงกิ่วแม่ปานแล้วก็ด้านบนสุดนั้นจะเป็นภูเขาที่มีต้นไม้ต้นเล็กๆขึ้นเต็มไปหมดและทางเจ้าหน้าที่ได้มีการมาปลูกดอกกุหลาบพันปีเอาไว้ซึ่งเป็นแหล่งดึงดูดให้นักท่องเที่ยวพยายามที่จะเดินมาเที่ยวถึงด้านบนสุดของภูเขาเพื่อจะได้มาชมความงามของกุหลาบพันปียิ่งโดยเฉพาะในช่วงหน้าหนาวในเดือนธันวาคมแล้วเราก็กุหลาบจะเบ่งบานสีสันสวยงามเต็มภูเขาไปหมด

และถ้าหากเราโชคดีเราอาจจะได้เห็นสัตว์ป่าที่ใกล้จะสูญพันธุ์หลากหลายชนิดซึ่งที่นี่ยังคงมีให้เราได้เห็นบ้างอย่างไรก็ดีหากใครเคยได้ไปชมความงามของที่นี่แล้วเราก็จะเกิดความประทับใจกับความสวยงามที่เราสามารถได้มายืนอยู่บนจุดสูงสุดของประเทศเรียกได้ว่าแทบจะเอื้อมมือคว้าก้อนเมฆได้เลยทีเดียว

 

สนับสนุนโดย  จีคลับ คาสิโน

โอะไดบะ (Odaiba)

  การเดินทาง

เดินจาก Telecom Center (U09) ทางออก south ประมาณ 5 นาที 

เปิดทำการทุกวันเวลา 11.00-9.00 น. ของวันถัดไป (เข้าได้จนถึง 7.00 น. )

ผู้ใหญ่วันจันทร์-วันศุกร์ 2480 เยน

วันเสาร์-วันอาทิตย์ 2680 เยน 

เข้าหลัง 18.00 น. 1980 เยน

วันเสาร์-วันอาทิตย์ 2180 เยน และเข้าหลัง 2.00 น. 2000 เยน 

เด็กอายุ 4-12 ปี 1000 เยน 

อายุต่ำกว่า4ปีเข้าฟรี

 

Gundum Robot & Gundum front

       บริเวณลานหน้าห้าง Diver city เป็นที่ตั้งของหุ่นgundum RX 78-2 มีขนาดสูง 18 เมตร เท่าของจริง ในช่วงค่ำของทุกวันจะมีโชว์การแสดงแสงสีประกอบฉายบนจอ LED ด้านหลังหุ่นยนต์เป็นจุดดึงดูดผู้คนที่มาเยือนโอะไดบะ นอกจากนี้ที่ชั้น 7 ของห้าฃ Diver city ยังมีพิพิธภัณฑ์ Gundum front เป็นพิพิธภัณฑ์ที่จัดแสดงโมเดลกันดั้มเบื้องหลังการสร้างหุ่นยนต์กันดั้มยักษ์และสิ่งประดิษฐ์ที่เกี่ยวข้องกับกันดั้มอีกด้วยใครเป็นสาวกกันดั้มไม่ควรพลาดหากจองตั๋วล่วงหน้าผ่านเว็บไซต์จะได้ราคาถูกกว่าไปซื้อที่หน้าทางเข้าด้วยนับว่าเป็นศูนย์รวมของเล่นที่หลายๆคนชื่นชอบ และแฟนตัวจริงสาวกกันดั้มต้องห้ามพลาดเป็นอันขาด และที่นี่เป็นที่ที่ถ่ายทำหนังการ์ตูนเรื่องดังอีกหลายเรื่องด้วย ในวันครบรอบ มักจะมีการจัดงานฉลองครบรอบในแต่ล่ะปีเพื่อดึงดูดเหล่าสาวกทั้งหลายอีกด้วย

  การเดินทาง

เดืนออกจากสถานี Daiba (U07) ทางออก south 5 นาที 

เวลาเปิดทำการทุกวันตั้งแต่ 10.00-21.00 น. ประตูจะปิดเวลา 20.00 น.

หุ่นยนต์กันดั้มที่อยู่ด้านหน้าสามารถชมฟรีส่วนพิพิธภัณฑ์ Gundum front 

ผู้ใหญ่ 1200 เยน

เด็ก 1000 เยน

 

Toyota Megaweb

       เป็นสถานที่จัดแสดงรถและนวัตกรรมใหม่ใหม่ของบริษัทโตโยต้า (Toyota city showcase) ที่ภายในมีกิจกรรมให้ลองเล่นมากมายทั้งทางวิ่งจำลองให้ผู้เข้าชมได้ทดลองขับรถรุ่นใหม่ๆ เกมทดลองขับรถสำหรับเด็กเด็กโซน History garrage ที่จัดแสดงรถยนต์ตั้งแต่สมัยเริ่มก่อตั้งบริษัทโตโยต้ารวมถึงโซน hybrid wonderland ที่จัดแสดงรถยนต์และเทคโนโลยีไฮบริด รวมถึงเป็นเมืองตัวอย่างในการใช้พลังงงานสะอาด

  การเดินทาง

เดินจากสถานี Aomi (u10) ทางออก north 3 นาที

เปิดทำการทุกวันตั้งแต่เวลา 11.00-21.00 น. 

สามารถเข้าชมได้ฟรี

 

 

สนับสนุนโดย  www.ufa168.co ลิงค์เข้าใช้งานค่ะ

ญี่ปุ่นหรือดินแดนอาทิตย์อุทัย (Land of the rising sun)

  ในส่วนของวันนี้เราจะพาทุกๆท่านไปดูกันว่าในเขตภูมิภาคคันโตนั้นมีอะไรสนุกๆให้เราได้เที่ยวเล่นกันบ้าง ทำไมเขตคันโตจึงกลายเป็นเหตุผลของจุดมุ่งหมายปลายทางแรกๆที่คนอยากไปเที่ยวญี่ปุ่นนึกถึงก่อนที่อื่น 

1.เพราะเป็นศูนย์กลางของประเทศ 

เขตคันโตเป็นศูนย์กลางทุกด้านของประเทศญี่ปุ่นเพราะเป็นที่ตั้งของเมืองหลวงอย่างโตเกียวที่รวบรวมความเจริญไว้แทบจะทุกอย่างเอาไว้ที่นี่และเป็นที่ตั้งของอีกทั้งสองสนามบินหลักๆ คือสนามบินนาริตะกลับสนามบินฮาเนดะ และเป็นต้นสายของรถไฟในฝั่งตะวันออกของเกาะฮอนชูซึ่งทำให้เขตคันโตนั้นจึงกลายเป็นจุดศูนย์กลางของการเดินทางที่มีความสะดวกสบายง่ายต่อการเดินทางที่จะต่อรถไฟไปยังภูมิภาคอื่นๆไม่ว่าจะเป็นทั้งชูบุโทโฮะกุ และคันไซ สำหรับคนที่มาญี่ปุ่นเป็นครั้งแรกๆจึงเลือกเดินทางที่จะมาที่ภูมิภาคคันโตด้วยเหตุผลที่ง่ายต่อการเดินทางในด้านการรถไฟที่เอื้ออำนวยความสะดวกในการท่องเที่ยวไปต่อยังเขตอื่นๆของประเทศญี่ปุ่นอีกด้วย 

2.เป็นแหล่งสวรรค์ของนัก Shopping

หากต้องการมา Shopping ที่ญี่ปุ่นนั้นคงไม่มีภูมิภาพไหนเหมาะไปกว่าคันโตแล้วเพราะในเขตคันโตนี้มีย่าน Shopping มากมายไม่ว่าจะเป็นชิบูยส ฮาราจุกุ ชินจุกุกินซ่า หรือจะเป็นถนนเส้น แคสสตรีทที่เป็นถนนยอดนิยมของเหล่าวัยรุ่นและคนญี่ปุ่นที่ไปเดินกันเยอะมากๆ มีของขายสองข้างทางเต็มไปหมด ตลอดจนเส้นทางนี้สามารถเดินยาวไปทะลุถึงฮาราจุกุเลยก็ได้ และยังมีแหล่งขายของเหี่ยวกับอิเล็คทรอนิกส์และสินค้าเกี่ยวกับการ์ตูนอะนิเมะ ยังอากิฮาบาระจึงเรียกได้ว่ามาที่เดียวได้ Shopping หมดครบทุกอย่างเลยก็ว่าได้

3.มีสวนสนุกชื่อดังถึงขั้นระดับโลกรวมไว้สามแห่ง

ภูมิภาคคันโตเป็นที่ตั้งของสวนสนุกที่มีชื่อเสียงโด่งดังไปถึงระดับโลกถึงสามแห่งด้วยกันคือดิสนีย์แลนด์ (Disneyland)  , ดิสนีย์ซี (Disney Sea ) และฟูจิคิวไฮแลนด์ (Fuji-Q Highland) นอกจากนี้ยังมีสวนสนุกอื่นๆที่น่าสนใจอีกมากมายเช่น Tokyo Joypolis , Yomiuri-land , Sanrio Puroland และ Cosmo World Fun Park

 

 

ได้รับการสนับสนุนโดย  สมัคร gclub ไม่มีขั้นต่ำ

น้ำตกน้ำตกเพลิงหางม้า (Horsetail firefall)

น้ำตกน้ำตกเพลิงหางม้า (Horsetail firefall) ที่สองเเสงสวยงามเฉพาะช่วงฤดูใบไม้ร่วงที่ที่สองเเสงสวยงาม

น้ำตกน้ำตกเพลิงหางม้า (Horsetail firefall) ตั้งอยู่ในอุทยานเเห่งชาติ yosemite

เป็นสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญเเห่งหนึ่งซึ่งมีนักท่องเที่ยวเฉลี่ยปีละประมาณ 3ล้านคนต่อปีเลยทีทีเดียว

เเละได้ถูกจัดให้เป็นมรดกของโลกในปี1984

น้ำตกน้ำตกเพลิงหางม้า (Horsetail firefall) ตั้งอยู่ที่ แคลิฟอร์เนีย ประเทศสหรัฐอเมริกา เป็นน้ำตกขนาดเล็กสองสายก่อจะมารวมกันเเป็นสายเดียวไหลลงจากหน้าผาที่มีความสูงทั้งหมดประมาณ 630เมตรที่จะมีน้ำไหลจากน้ำตกเเค่ในช่วงฤดูหนาว เเละน้ำตกเเห่งนี้ นี้มีความพิเศษตรงที่มันสามารถเกิดเเสงสีส้มที่เหมือนเปลวเพลิงออกมาในช่วงฤดูหนาวเท่านั้น 

การจะไปชมน้ำตกเเห่งนี้ต้องเดินทางจากที่Northside Drive ไปที่จุดตั้งเเค้มที่ต้องเดินทางประมาณ1.5ไมล์หรือประมาณ2.4กิโลเมตรซึ่งจะต้องใช้เส้นทาง SouthsideDrive & El capitan Crossover ในเส้นทางนี้จะมีจุดตั้งเเคมป์หลายจุดที่สามารถรอชมน้ำตกเเห่งนี้ได้

ความสวยงามของน้ำตก Horsetail firefall

นั้นเมื่อเเสงของดวงอาทิตย์ยามตกดินมาสะท้อนสายน้ำที่ไหลลงมาจากน้ำตกจะทำให้เกิดเป็นสายน้ำที่เรืองเเสงเป็นสีส้มดั่งเปลวเพลิงที่สวยงาม เเต่ใช่ว่าการที่มาชมน้ำตกเเห่งนี้เเล้วจะได้เห็นน้ำตกที่เกิดเเสงสีส้มทุกครั้งนั้นเป็นไปได้ยาก เพราะการที่จะได้เห็น Horsetail firefall ตอนเกิดเเสงนั้นต้องอาศัยปัจจัยหลายอย่างเพราะน้ำในลำธารนั้นไม่ได้ไหลลงมาตลอดทั้งปี น้ำเเข็งที่จับตัวกันบนภูเขาจะต้องมากพอที่จะละลายเเล้วไหลลงมาตามร่องลำธารของภูเขา

ถ้าน้ำเเข็งไม่มากพอก็จะไม่มีน้ำไหลลงมา อุณหภูมิในระหว่างวันที่จะต้องสูงพอที่จะละลายน้ำเเข็งที่อยู่บนภูเขา ถ้าอุณหภูมิเย็นเกินไปก็จะไม่ทำให้น้ำเเข็งละลายลงมา เเม้กระทั้งถ้าวันนั้นท้องฟ้าไม่เเจ่มใสมีเมฆมากหรือมีหมอกหนาเเสงจากพระอาทิตย์จะถูกบังทำให้ไม่สามารถส่องมากระทบกับน้ำที่ไหลลงมาได้  ช่วงเวลาที่เเสงจะเกิดขึ้นเฉพาะในช่วงพระอาทิตย์ตกดินที่ท้องฟ้าเเจ่มใสเท่านั้นเเละมีเวลาให้ชมเเค่ประมาณ10นาทีก่อนที่พระอาทิตย์จะลับขอบฟ้าในช่วงปลายเดือนกุมภาพันธุ์เท่านั้น

 

สนับสนุนเรื่องราวโดย  Ufabet ฝากถอนไม่มีขั้นต่ำ

พาเที่ยวป่าแห่งความมืด

พาเที่ยวป่าแห่งความมืด เดอะ ดาร์ก เฮดจ์ 

        สำหรับนักท่องเที่ยวคนไหนที่เคยเดินทางไปประเทศไอร์แลนด์เหนือเชื่อว่าหลายคนคงเคยได้ยินชื่อสถานที่ท่องเที่ยวแห่งหนึ่งที่มีชื่อเสียงเรื่องของความสวยงามและความน่ากลัวอยู่ในที่แห่งเดียวกันสถานที่แห่งนั้นก็คือเดอะ ดาร์ก เฮดจ์ ซึ่งเค้าว่ากันว่าหากว่าคุณไปเที่ยวในตอนกลางวันคุณจะพบกับความสวยงามของธรรมชาติที่มีต้นไม้ล้อมรอบมีลมพัดผ่านแต่ถ้าหากคุณไปสถานที่แห่งนี้ในตอนกลางคืนคุณจะเหมือนกับการเดินเข้าไปดินแดนที่มีแต่ความลึกลับและดูน่ากลัวซึ่งอันที่จริงแล้วสถานที่แห่งนี้ถูกสร้างขึ้นมามีอายุหลาย 100 ปี

แล้วซึ่งคนที่สร้างได้มีความคิดอยากจะให้ทางเดินตรงที่แห่งนี้มีความสวยงามเขาจึงได้ทำการปลูกต้น Beach เอาไว้ริมทางทั้งสองฝั่งซ้ายและขวาเป็นระยะทางยาวถึงกิโลครึ่งซึ่งเวลาผ่านไปจากต้นไม้ต้นเล็กๆจึงกลายเป็นต้นไม้ใหญ่ต้นไม้แต่ละต้นปัจจุบันอายุมีตั้งแต่ 300 ปีขึ้นไปดังนั้นถนนสายนี้จึงถือได้ว่าเป็นถนนที่มีความเก่าแกติดอันดับโลกเลยทีเดียวแต่ไม่ใช่ว่าถนนแห่งนี้จะเป็นถนนสายตรวจสายประวัติศาสตร์เท่านั้นแต่ที่ถนนแห่งนี้ยังมีความน่าทึ่งของความแตกต่างกันระหว่างทั้งวันและทั้งคืนเป็นอย่างมาก

หากใครได้มาเที่ยวในเวลากลางวันจะเห็นความงดงามดั่งเทพนิยายของถนนสายนี้ใครที่เคยได้ดูฉากในหนังภาพยนตร์หรือแม้แต่ในการ์ตูนจะเห็นว่าจะมีฉากที่เป็นถนน ที่มีความยาวสุดลูกหูลูกตาในขณะเดียวกันก็มีต้นไม้ขนาดใหญ่ขึ้นอยู่สองข้างทางปลุกติดต่อกันเป็นทิวแถวแพกิ่งก้านสาขาป้องกันแสงแดดไม่ให้กระทบลงมาถึงพื้นดินเหมือนเราเป็นอลิซไปเดินในดินแดนแห่งมหัศจรรย์เลยทีเดียวแต่คนชื่อหรือไม่ว่าในสถานที่ที่โยชื่นชมว่ามีความสวยงามแห่งนี้ถ้าเรามาเดินในตอนกลางคืนแล้วแล้วก็มันจะกลับกลายเป็นสถานที่ที่มีความน่ากลัวเป็นอย่างมาก

เหมือนกับว่าเรากำลังเดินเข้าไปยังประสาทของแม่มดเพื่อไปช่วยเจ้าหญิงให้หลุดผลจากคำสาปด้วยความที่สถานที่ท่องเที่ยวแห่งนี้มีลักษณะที่แตกต่างกันสุดขั้วระหว่างทั้งวันและทั้งคืนทำให้ผู้คนนิยมเดินทางมาท่องเที่ยวเพื่อมาทดลองโดยความแตกต่างนี้กันเป็นจำนวนมากและที่นี่ในตอนกลางวันเรามักจะเห็นผู้คนมาถ่ายรูปหรือมาวาดภาพส่วนในตอนกลางคืนนั้นฉันมีหนังหลายเรื่องที่มาถ่ายทำกันที่นี่เป็นแนวหนังสยองขวัญหรือแนวเทพนิยายอย่างเรื่องเบลกับเจ้าชายอสูรและถ้าหากคุณอยากรู้ว่าทำไมคนทั่วทั้งโลกถึงพากันมาเที่ยวที่แห่งนี้ก็ลองหาโอกาสแวะไปเยี่ยมชมด้วยตนเองดูสักครั้งนะคะ